ตารางการรทำงานก่อนเปิดร้านเบเกอรี่
ขั้นตอนแรก กำหนดวันเปิดร้าน จากนั้นก็
วางแผนการทำงานใน 1 ปี จำลองเวลา
เวลาไว้ที่ 1 ปี ในช่วงนั้นควรทำอะไร
จัดลำดับการทำงานให้แน่นอน
ขั้นตอนการทำงานก่อนเปิดร้าน
ช่วง | หัวข้อปฏิบัติ | ตัวอย่าง | สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนลงมือปฏิบัติ |
เดือนที่ 1-3 |
ตระเวนไปตามร้านเบเกอรี่ ที่ได้รับความนิยม |
ชิมด้วยตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่าขนมชนิดไหนที่ ได้รับความนิยม นอกจากไปตามร้านแบบทีี่ ตัวเองคิดไว้แล้ว ยังต้องตระเวนไปตามร้าน ที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปอีกด้วย เพื่อ ศึกษาข้อดี แล้วนำมาปรับใช้กับร้าน ของตัวเอง |
1.หาข้อมูลล่าสุดจากโทรทัศน์ นิตยสาร หรืออินเตอร์เน็ต 2.วิเีคราะห์เหตุผลที่ร้านเหล่านั้นได้รับ ความนิยม เช่น รสชาติ บรรยากาศ บริการ ฯลฯ 3.นอกจากขนมปังและขนมเค้กแล้ว ยังต้องดูแนวโน้มด้านอื่นด้วย |
เดือนที่ 4-5 |
วางรูปแบบร้านเบเกอรี่ แบบคร่าวๆ |
พิจารณาข้อมูลต่างๆ แล้วร่างโครงสร้างร้าน เบเกอรี่ในรูปแบบของตัวเองออกมา โดยดู ว่าต้องการขายขนมแบบใดให้ลูค้า อยาก ให้ลุกค้ากลุ่มใดชื่นชอบ แล้วร่างแบบที่ คิดไว้ออกมาก่อนในขั้นต้น |
1.พิจารณาให้รอบด้าน เช่น กลุ่มลูกค้า ทำเลที่ตั้ง เงินทุน เป็นต้น 2.ใช้แนวคิดที่ตัวเองคิดว่าดี อย่างฟัง คนอื่นบอกว่าดีแล้วทำตามเป็นอันขาด ต้องทดลองและพิจารณาด้วยตัวเอง |
เดือนที่ 6-8 |
มุ่งไปข้างหน้า เกรียมเปิดร้าน |
ทำตามแนวคิดในการดำเนินกิจการ โดยเริ่ม จากการเสาะหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม มอง หาพื้นที่ที่ชอบ แล้วพิจารณาถึงขนาด รูปแบบ และลักษณะของร้าน และเพื่อ ควบคุมงบประมาณจึงต้องคำนวณค่าใช้จ่าย ต่างๆให้ละเอียดและใกล้เคียงความจริง มากที่สุด
|
1.สำรวจข้อมูลต่างๆ เช่น ราคา การหมุนเวียนลูกค้าของคู่แข่ง และ ระดับลูกต้า เป็นต้น 2.เลือกและกำหนดบริษัทออกแบบและ ตกแต่ง คำนวณว่าต้องใช้ค่าใช้จ่าย เท่าไร 3.วางโครงสร้างของพื้นที่หน้าร้านและ สินค้าจะต้องเตรียมอะไรบ้างและมีค่าใช้ จ่ายเท่าไร |
เดือนที่ 9 |
เริ่มซื้อสิ่งของต่างๆ |
เตรียมอุปกรณืต่างๆให้พร้อม ตั้งแต่อุปกรณ์ ขนาดใหญ่ไปจนถึงชิ้นเล็กๆ การเลือกวัตถุ ดิบต้องระมัดระวังในการเลือกบริษัทผู้ จำหน่าย ควรมีความรู้ความเข้าใจเกียวกับ ผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ รวมทั้งจุดเด่นของ เครื่องปรุงแต่ละชนิดก็ต้องศึกษาให้ถ่องแท้
|
1.ก่อนเลือกซื้ออุปกรณ์ขนาดใหญ่ต้อง ตรวจสภาพการทำงานของเครื่องให้ เรียบร้อย 2.การเลือกซื้อควรพิจารณาจากรสนิยม ของตัวเอง และต้องเปรียบเทียบสินค้า จากผู้จัดจำหน่ายตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป |
เดือนที่ 10 |
เตรียมเงินทุน |
พยายามใช้เงินทุนกับการลงทุนขั้นต้นให้ น้อยที่สุดเท่าีที่จะเป็นไปได้ เพื่อรักษาเงินทุน หมุนเวียนเอาไว้ หากจำเป็นต้องกู้ยืมควร พิจารณาเรื่องค่าธรรมเนียมและรายละเอียด อื่นๆ ให้ดี
|
1.คำนวณดูว่าสามารถกู้เงินได้เท่าไร 2.ผู้ที่ต้องการกู้ยืมควรศึกษาวิธีการเขียน แผนการดำเนินกิจการให้เข้าใจ 3.คำนวณค่าใช้จ่ายในการเปิดร้าน รวม ทั้งเป้าหมายในการดำเนินกิจการ |
เดือนที่ 11-12 |
ใกล้จะถึงเวลาเปิด ร้านแล้ว |
ในช่วงเวลานี้ต้องตัดสินใจถึงรายละเอียด ต่างๆ เช่น ตั้งชื่อร้าน ออกแบบเครื่องหมาย การค้า ทำแผ่นป้ายรายการสินค้า วางแผน การจัดเรียงสินค้า ออกแบบพื้นที่ภายในร้าน พื้นที่สำหรับลูกค้า กำหนดเวลาอบขนม ก่อนเปิดร้านอาจกระจายสินค้าให้ทดลองชิม เพื่อเป็นการประชาสีมพันธ์ไปในตัว |
1.ตรวจสอบรายการอาหาร แผ่นป้าย และการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ 2.เลือกซื้อวัตถุดิบ สินค้าคลคลัง 3.ทดลองทำในสถานการณ์จริงและ ตรวจสอบว่าเหมาะสมหรือไม่ แล้วปรับ ลำดับการทำงานให้ลงตัว ควบคุมรสชาติ ให้แม่นยำ |
เรียนรู้เทคนิค
เรียนรู้ที่โรงเรียนฝึกอาชีพ
โรงเรียนฝึกอาชีพจะถ่ายทอดความรู้และเทคนิคที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีมาตรฐานที่แน่นอน ตัวอย่่างเช่น ชื่อเรียกของส่วนผสมและอุปกรณ์ วิธีจับและวิธีใช้ ความรู้ด้านวัตถุดิบ การผลิต ความรู้ด้านวัฒนธรรม เช่น ประวัติศาสตร์และกระแสนิยม รวมไปถึงความรู้ด้านโภชนาการและสุขลักษณะ เป็นการเรียนรู้ภาพกว้างในขอบเขตที่เกี่ยวกับขนมปังและขนมเค้ก ภายใตัสภาพแวดล้อมที่มีอุปกรณ์ท้นสมัยอาจทำให้ไม่ต้องกังวลกับความล้มเหลวมากนัก จะทดลองกี่ครั้งก็สามารถทำได้ หากมีข้อสงสัยสามารถถามจากอาจารย์ และยังสามารถแลกเปลี่ยนพูดคุยประสบการณ์กับเพื่อนร่วมชั้นหรืออาจารย์ชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตได้เช่นกัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อดีที่หาไม่ได้จากการฝึกงานที่ร้าน
การฝึกงานในร้าน
หากเรียนจบจากโรงเรียนแล้วเริ่มเปิดร้านท้นที จะเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก การผลิตสินค้าในความเป็นจริงนั้นจำเป็นต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายและพิจารณาเรืืองเงินลงทุนเสียก่อน ดังนั้นจึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการเรียนในโรงเรียน
ถึงแม้ได้เรียนรู้หลักพื้นฐานในการทำขนมปังและขนมเค้กจากโรงเรียนมาแล้ว แต่ในด้านของการเลือกซื้อวัตถุดิบ การจัดการโครงสร้างสินค้าภายในร้าน การไหลเวียนสินค้า การต้อนรับลูกค้า เป็นต้น ประสบการณ์เหล่านี้หากไม่ได้เผชิญกับสถานการณ์จริง คงไม่สามารถสัมผัสได้
นอกจากนี้ต้องไม่รอให้ผู้มีประสบการณ์มาคอยสอนอย่างใกล้ชิด ต้องจำไว้ให้แม่นยำว่า การทำงานในสถานการณ์จริงนั้น "ความเีคยชินสำคัญกว่าการเรียนรู้" และ "เทคนิคและความรู้เป็นสิ่งที่ต้องแอบศึกษา" ร้านที่เราจะไปเรียนรู้ต้องเลือกร้านที่มีแนวคิดและสินค้าสอดคล้องกับที่อยากเปิด
การศึกษาด้วยตนเอง
การเปิดร้านขนมปังหรือขนมเค้ก ไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองหรือข้อมูลพิเศษอะไร เพียงแค่ชื่นชอบขนมปังและขนมเค้ก ขยันเรียนรู้ ใช้เตาอบที่ตัวเองมีอยู่อบขนมปังแล้วแบ่งปันให้เพื่อนฝูง เมื่อได้รับความชื่นชอบจะมีใบสั่งสินค้าลอยมาหาเรื่อย ๆ เมื่อนั้นจึงจะจำเป็นต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ เปิดร้าน และจ้างพนักงาน เนื่องจากความสะดวกสบายจากอินเตอร์เน็ต บางคนไม่ได้้ตั้งเป็นหน้าร้านจริงจังด้วยซ้ำไป สามารถเปิดร้านออนไลน์บนอินเตอร์เน็ตได้
แต่เมื่อไม่มีประสบการณ์จากการเรียนรู้หรือการฝึกงานอย่างเป็นระบบ จึงไม่มีคนให้คนแนะนำเรื่องการใช้อุปกรณ์ การเลือกซื้อวัตถุดิบหรือความรู้เกีี่ยวกับการดำเนินกิจการ หากเป็นคนที่สนใจด้านนี้อยู่แล้ว และร้านมีขนาดเล็กคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ัตัวอย่างที่ก้าวไปอย่างยากลำบากเมื่อเริ่มเปิดกิจการแล้วไม่น้อยเช่นกัน
หากต้องการศึกษาด้วยตนเอง เพื่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขนมปังและขนมเค้ก จำเป็นต้องขยันหมั่นเพียรและมีความตั้งใจอย่างแรงกล้า นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากโรงเรียนสอนอบขนม | สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการฝึกงานในร้าน | สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการศึกษาด้วยตนเอง |
1.วิธีการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือ 2.ขั้นตอนและการฝึกฝนการผลิต 3.ความรู้ด้านวัตถุดิบ 4.ความรู้ด้านคหกรรม โภชนาการ สุขลักษณะ เป็นต้น 5.ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับขนมปังและขนมเค้ก |
1.ขั้นตอนการทำงานจริงภายในร้าน 2.ประสบการณ์การจัดซื้อวัตถุดิบ 3.ความรู้เกี่ยวกับสินค้า 4.โครงสร้างเมนู 5.ขั้นตอนการขาย 6.วิธีการให้บริการลูกค้า 7.การจัดการธุรกิจ |
1.ความรู้และข้อมูลที่ได้จากหนังสือ 2.ประสบการณ์จากการไปทดลองชิมตามร้านต่าง ๆ 3.เทคนิคที่ได้จากการเข้าร่วมงานอบรมและงานสัมมนา 4.คำวิจารณ์สินค้าจากเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง 5.เคล็ดลับการขายในแบบเฉพาะตัว ทั้ง การขายตามท้องตลาดและทางอินเตอร์เน็ต |
วิธีการและข้อดีในการเสาะหาบริษัทจัดหาสินค้า
1. อินเตอร์เน็ต
สามารถหาข้อมูลได้หลากหลายชนิดทั้งแหล่งผลิต ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก เป็นต้น รวมถึงหาข้อมูลของผู้ค้าบริเวณใกล้เคียงได้ และยังหาข่าวสารของผู้ประกอบการจากทั่วประเทศได้
2. สอบถามจากร้านต่าง ๆ
สอบถามถึงบริษัทจัดหาสินค้าจากร้านแห่งอื่น สามารถสอบถามดูว่าต้องใช้วัตถุดิบใดบ้าง เป็นจำนวนเท่าไร และสอบถามถึงสภาพโดยรวมได้ หากคุณเป็นลูกค้าประจำของร้านนั้น อาจให้เจ้าของร้านแนะนำให้รู้จักกับผู้ประกอบการได้
3. งานแสดงสินค้า
ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงแหล่งผลิตก็สามารถสัมผัสกับสินค้าท้องถิ่นจากแหล่งผลิตได้โดยตรง ซึ่งผู้ผลิตนำมาจัดแสดงเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้า ดังน้นโดยพื้นฐานแล้วจึงไม่จำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากนัก
4. ขอคำแนะนำจากสถาบันหรือผู้ประกอบการ
หากเจอสินค้าที่เคยเห็นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทดลองรสชาติหรือสอบถามเรื่องราคาอีก ถึงแม้จะเป็นร้านที่เพิ่งเคยติดต่อเป็นครั้งแรก อาจให้ผู้ประักอบการที่รู้จักกันแนะนำได้ เพื่อทำความรู้จักกันได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังอาจขอให้แนะนำผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมให้รู้จักได้
จำเป็นต้องหาวัตถุดิบอะไรบ้าง
1. แป้งขนมปัง ไข่ นม ฯลฯ
สามารถสั่งซื้อจากแหล่งผลิตโดยตรง หรือหาซื้อจากร้านค้าส่งหรือตามตลาดก็ได้ เนื่องจากเป็นวัตถุดิบพื้นฐาน ดังนั้นทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการหาซื้อจากซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีการส่งสินค้าไม่แน่นอน
2. ผัก ผลไม้
สินค้าเกษตรเหล่านี้สามารถหาซื้อแบบสดใหม่ได้จากตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่หากเน้นเรื่องคุณภาพอย่างจริงจัง อาจใช้วิธีลงสัญญาร่วมมือกับไร่แหล่งผลิตได้โดยตรง
3. บรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ
สามารถสั่งได้จากผู้จำหน่าย ถุงกระดาษ กล่องกระดาษ กระเป๋าถือ เป็นต้น ผู้ประกอบการหลายรายไม่เพียงให้ความสำคัญกับการจำหน่ายเพียงอย่างเดียว แต่ยังเน้นเรื่องการออกแบบด้วย
ขั้นตอนการเจรจาสั่งซื้อสินค้า
1. เลือกผู้ประกอบการที่น่าสนใจ
ควรเลือกสัก 5-10 ร้าน สำหรับสินค้าแต่ละชนิด สามารถตรวจสอบข้อมูลเรื่องสินค้าและการสั่งซื้อจากทางอินเตอร์เน็ตหรือโทรศัพท์
2. ติดต่อผู้ประกอบการที่เราสนใจ
พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ราคา วันส่งสินค้า และการคืนสินค้า เป็นต้น ลดปริมาณร้านที่สนใจให้เหลือ 3-4 แห่ง แล้วติดต่อนัดหมาย
3. ตรวจสอบสินค้า
ขอให้ฝ่ายคู่ค้าส่งสินค้าที่เราสนใจมาให้ตรวจสอบก่อน หากไม่สนใจสินค้านั้น เราสามารถปฎิเสธและเลือกผู้ประกอบการรายใหม่ได้
4. เริ่มการเจรจา
กล่าวถึงข้อเสนอของตัวเอง ทั้งเรื่องราคา ปริมาณ วันกำหนดส่ง เป็นต้น และเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกันและกันจึงควรเจรจาเพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
จุดสำคัญในการเจรจา 1. ขอให้บริษัทสองสามแห่งเสนอราคาก่อน หากไม่เปรียบเทียบราคากับบริษัทอื่น คงไม่สามารถหาผู้ประกอบการที่มีข้อตกลงที่ดีกว่าได้ ขณะเดิียวกันอาจนำเรื่องชื่อเสียงของบริษัทมาประกอบการตัดสินใจได้ 2. ตรวจสอบสินค้าจริง คงไม่มีผุ้ประกอบการรายใดที่จะบอกว่าสินค้าของตัวเองไม่ดี ถึงแม้สินค้าจะดีอยู่แล้ว แต่ต้องดูด้วยว่าเหมาะสมกับตนเองหรือไม่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจสอบสินค้าจริงด้วยตนเอง 3. ราคา ค่าใช้จ่าย ใบสั่งสินค้าในปริมาณมากและการเพิ่มการสั่งซื้อ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้อาจช่วยลดต้นทุนในการสั่งซื้อได้ ส่วนด้านค่าใช้จ่ายและวันกำหนดส่งนั้น ต้องตรวจสอบให้ละเอียดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด 4. วันส่งสินค้า การคืนสินค้า กำหนดวันส่งสินค้าและข้อตกลงเรื่องการคืนสินค้าให้แน่นอน การพูดปากเปล่าอาจไม่แน่นอน ดังน้นควรกำหนดเป็นข้อตกลงไว้ในสัญญาให้ชัดเจน |